Monday, March 16, 2009
http://montfort50.blogspot.com/
ทราบได้อย่างไรว่าเราเป็นศิษย์เก่ามงฟอร์ตรุ่นอะไร ?
ทราบได้อย่างไรว่าเราเป็นศิษย์
นักเรียนจากโรงเรียนต่
ในสมัยการประชุมของอดี
ระดับชั้น | เข้าเรียนปี | จบการศึกษา | เป็นศิษย์เก่ารุ่น |
ป.1 | 2542 | ม.3 ปีการศึกษา 2550 | 2550 |
ม.4 | 2551 | ม.6 ปีการศึกษา 2553 | 2550 |
ข้อมูลจาก....สมาคมศิษย์เก่
Wednesday, March 4, 2009
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ท่านผู้ปกครองสามารถดูรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับ แอดมิตชั่น GAT PAT ได้จากลิงค์ข้างต้น ครับ
“ชัยวุฒิ” จี้ สทศ.เร่งโฆษณา GAT, PAT ประกาศไฟเขียวมหา'ลัยรับตรง
นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวภายหลังร่วมประชุมบอร์ดสถาบันทดสอบทางการศึกษา (สทศ.) ว่า สทศ.รับภาระหน้าที่ในการสอบ GAT, PAT ซึ่งจะเริ่มใช้ในปี 2553 โดยจะเริ่มสอบครั้งแรกวันที่ 7-8 มีนาคมนี้ แต่มีหลายคนยังไม่ค่อยรู้ เพราะฉะนั้น สทศ.ต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ทราบอย่างแพร่หลาย โดยประสานขอความร่วมมือจาก สพฐ. ผอ.เขต สพท.ซึ่งเหตุผลที่ก่อนหน้าที่ สทศ.ไม่กล้าประชาสัมพันธ์เพราะเกรงว่าจะทำให้เด็กเกิดความสับสนกับ A-NET ซึ่งใช้เป็นปีสุดท้าย
ทั้งนี้ ให้เด็ก ม.5 และ ม.6 สมัครสอบ GAT, PAT ได้ 3 ครั้ง โดยเลือกคะแนนครั้งที่ดีที่สุดมาเป็นส่วนประกอบในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย อย่างไรก็ดี มีนักวิชาการบางท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อสอบแต่ละครั้งจะมีความยากง่ายต่างกัน ขอยืนยันว่า การออกข้อสอบทุกครั้งมาตรฐานเดียวกัน เพราะว่า สทศ.จะมีคลังข้อสอบ โดยคณะกรรมการจะออกข้อสอบ ง่าย ปานกลาง ยาก แล้วเวลาเลือกข้อสอบจะเลือกคละกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นกังวลอยากเตือนนักเรียน ว่า การสอบ GAT, PAT ไม่จำเป็นต้องสอบครบทั้ง 3 ครั้ง และทุกวิชา นักเรียนเลือกวิชาที่คิดว่าพร้อม จะได้ไม่เสียเงินไปติว
ส่วนเรื่องมหาวิทยาลัยแห่งไหน ต้องการเปิดรับตรงเพื่อคัดเลือกเด็กให้ตรงกับสาขา หรือคณะ ขอให้นำคะแนนการสอบ GPAX, GAT, PAT และอื่นๆ มาใช้เป็นองค์ประกอบในการคัดเลือก แต่อาจให้มหาวิทยาลัยปรับสัดส่วนคะแนน GPAX, GAT, PAT ซึ่งไม่จำเป็นต้องคะแนนเท่ากัน เพื่อให้มหาวิทยาลัยได้เด็กตามคุณสมบัติที่จะเรียนในคณะ สาขา แต่คงไม่ให้มหาวิทยาลัยจัดดำเนินการสอบคัดเลือกเอง โดยยกเว้นหลักสูตรพิเศษ เช่น INTER ที่ให้มหาวิทยาลัยเป็นผู้คัดเลือกเอง
“ยอมรับว่า ปัญหาการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยนั้น มีปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ต้องปรับปรุงให้ระบบการคัดเลือกเด็กได้ตรงสาขามากที่สุด อาจจะใช้วิธีดูผลสอบ GAT, PAT และอื่นๆ โดยมหาวิทยาลัยบางแห่งอาจให้น้ำหนัก ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิต สูงกว่าแห่งอื่น คือไม่จำเป็นต้องใช้คะแนนเท่ากัน”
นายชัยวุฒิ กล่าวอีกว่า จะผลักดันให้ สทศ.มีบทบาทระดับชาติ บริษัทเอกชน หน่วยงานรัฐบาล ยอมรับโดยใช้ผลสอบเป็นส่วนหนึ่งในการคัดเลือกเข้าทำงาน ซึ่งขณะนี้มีโรงเรียนกว่า 200 แห่ง จะนำผลสอบ O-NET ป.6 มาประกอบการคัดเลือกเด็ก ม.1
จุฬาฯ แจงยิบเหตุมุ่งรับตรง เมิน “แอดมิชชัน” ชี้ชัดไม่พอใจเกณฑ์ แถมลดค่า GPAX เหลือแค่ 10 เปอร์เซ็นต์
วันนี้ (4 มี.ค.) ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) แถลงข่าวการคัดเลือกนิสิตเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรี ปีการศึกษา 2553 ของจุฬาฯ ว่า ในปีการศึกษา 2553 จุฬาฯ จะยึดหลักการรับนิสิตโดยให้นักเรียนและผู้ปกครองเดือดร้อนน้อยที่สุด มีภาระน้อยที่สุด และเปิดโอกาสให้นักเรียนให้มากที่สุด โดยได้วางแผนรับนิสิตไว้ 6,003 คน แยกเป็นระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือแอดมิชชันกลาง 2,420 คน คิดเป็น 40% และรับตรง 60% จำแนกเป็น รับตรงปกติ 2,479 คน คิดเป็น 41% รับตรงพิเศษ (โครงการจุฬาฯ ชนบท, โครงการกีฬาดีเด่น, โครงการศิลปะดีเด่น โครงการผู้มีความสามารถพิเศษฯ โครงการสถาปัตยกรรมไทย) 1,104 คน คิดเป็น 19%
ทั้งนี้ จำนวนดังกล่าวยังไม่รวมนิสิตนานาชาติ 890 คน และเมื่อเทียบกับจำนวนรับนิสิตของปีการศึกษา 2552 พบว่าสัดส่วนการรับตรงเพิ่มขึ้น 30% โดยจากเดิมอยู่ที่แอดมิชชันกลาง 70% และรับตรง 30%
นพ.ภิรมย์ กล่าวต่อไปว่า จุฬาฯ ขอยืนยันว่าเห็นด้วยกับระบบแอดมิชชันกลาง เพราะเอื้อต่อนักเรียนและหน่วยรับ แต่จุฬาฯ จำเป็นต้องรับตรงในรูปแบบต่างๆ ด้วย เพื่อให้ตรงกับปรัชญาและโครงการของคณะต่างๆ ซึ่งในปีการศึกษา 2553 ทปอ.ได้ปรับการทดสอบมาเป็นการวัดความถนัดทั่วไปหรือ GAT และการวัดความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ หรือ PAT โดยกำหนดสัดส่วนและค่าน้ำหนักของแต่ละวิชาเพื่อให้ใช้ร่วมกันในทุกสถาบัน
“สัดส่วนและน้ำหนักดังกล่าวพบว่าไม่เหมาะสมกับเกณฑ์การรับนิสิตของบางคณะ ดังนั้น จุฬาฯ จึงต้องรับตรงเพิ่มขึ้นในสาขาเหล่านั้น เช่น คณะอักษรศาสตร์ ปีการศึกษา 2553 จุฬาฯ จะรับตรงทั้งหมด 100% จากเดิมรับในระบบแอดมิชชัน 100% คณะวิศวกรรมศาสตร์ รับตรง 80% จากเดิมรับตรงแค่ 8% คณะวิทยาศาสตร์ รับตรง 53% จากเดิมเพียง 31% เป็นต้น โดยในการรับตรงทุกคณะ จะรับสมัคร 2 รอบ รอบแรกสำหรับโครงการผู้มีความสามารถพิเศษซึ่งจะประกาศผลต้นเดือนพฤศจิกายน หากรอบแรกไม่ผ่าน ก็สามารถสมัครรอบ 2 สำหรับโครงการรับตรงทั่วไป ซึ่งจะรับสมัครกลางเดือนพฤศจิกายน โดยรอบที่ 2 นักเรียนมีโอกาสเลือกได้ถึง 4 อันดับ ซึ่งถือเป็นการดำเนินการครั้งแรกในปีการศึกษา 2553 และหากนักเรียนไม่ผ่านการคัดเลือกแบบรับตรง ก็สามารถไปสมัครแอดมิชชันได้อีก”นพ.ภิรมย์ กล่าว
อธิการบดี จุฬาฯ กล่าวต่อไปว่า การรับตรงทุกคณะยังคงใช้องค์ประกอบหลัก 3 ส่วนที่ ทปอ.กำหนด คือ คะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรม.ปลาย หรือ GPAX รวมถึง GAT และ PAT ที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) จัดทดสอบ แต่จะปรับค่าน้ำหนักให้เหมาะสม เช่น คณะอักษรศาสตร์ ที่ ทปอ.กำหนดค่าน้ำหนัก PAT 7 ความถนัดในการเรียนภาษาต่างประเทศ เพียง 10% จุฬาฯ จะเพิ่มค่าน้ำหนักในส่วนนี้เป็น 30% เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเมื่อเด็กเข้ามาเรียนแล้วสามารถเรียนได้ เป็นต้น
ทั้งนี้ คะแนน GAT และ PAT ที่นำมาใช้ จะต้องเป็นผลคะแนนของการสอบครั้งที่ 2 ในวันที่ 4-12 กรกฎาคมเท่านั้น เพื่อสร้างความยุติธรรมให้แก่เด็ก เพราะถือว่าได้รับทราบข้อมูลพร้อมกัน ใช้ข้อสอบชุดเดียวกันและเข้าสู่สนามสอบในเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ จุฬาฯ จะจัดสอบความรู้เพิ่มเติมในส่วนที่ สทศ.ไม่ได้จัดสอบให้ อาทิ ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ ทักษะดนตรีสากล เป็นต้น โดยจะจัดสอบตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2552 เพื่อนักเรียนจะได้รู้คะแนนของตนเองในทุกวิชาก่อนมายื่นรับตรง
นพ.ภิรมย์ กล่าวอีกว่า ส่วน GPAX จะให้ค่าน้ำหนักในการรับตรง 10% จากที่ ทปอ.กำหนด 20% โดยจะใช้ GPAX ใน 5 ภาคเรียนเท่านั้น สาเหตุที่ให้ค่าน้ำหนัก GPAX แค่ 10% เพราะได้มีการวิจัยออกมาแล้วว่าการให้ค่าน้ำหนัก GPAX เพียง 10% เหมาะสมแล้ว หากให้ค่าน้ำหนักสูงอาจไม่ยุติธรรมแก่เด็ก เพราะคุณภาพการตัดเกรดและมาตรฐานของโรงเรียนต่างกัน แต่หากไม่นำมาใช้เลยก็ทำให้เด็กทิ้งห้องเรียนได้ ซึ่งเราอยากจะดึงเด็กให้อยู่ในห้องเรียนนานที่สุดจึงกำหนดให้ใช้ GPAX ใน 5 ภาคเรียน หรือจนถึง ม.6 เทอมแรก
อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวด้วยว่า ยอมรับว่า คณะต่างๆ ยังไม่ค่อยพึงพอใจกับสัดส่วนองค์ประกอบแอดมิชชันที่ ทปอ.กำหนด แต่หากในอนาคต ทปอ.มีการปรับค่าน้ำหนักใหม่ให้เหมาะสมกับหลักเกณฑ์ของแต่ละคณะ ก็เชื่อว่า ทุกคณะจะหันมารับนิสิตผ่านระบบแอดมิชชันเพราะไม่มีใครอยากจัดรับตรงเอง เนื่องจากต้องดำเนินการหลายขั้นตอนและยุ่งยาก ซึ่งการปรับค่าน้ำหนักไม่จำเป็นต้องรอประกาศล่วงหน้าถึง 3 ปี เพราะหากทำแบบนั้นชีวิตรันทดแน่ ซึ่งเรื่องนี้จะมีการหยิบยกมาหารือในการประชุมคณะทำงานศึกษาแอดมิชชันฟอรั่ม ปีการศึกษา 2553 ในวันที่ 13 มีนาคมนี้
ด้าน ผศ.ดร.ม.ร.ว.กัลยา ติงศภัทิย์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการด้านการศึกษา จุฬาฯ กล่าวว่า เหตุผลที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ใช้วิธีคัดเลือกผ่านระบบการรับตรงทั้งหมด 100% จำนวน 295 คนในปีการศึกษา 2553 นั้น เนื่องจากค่าน้ำหนัก PAT 7 ความถนัดในการเรียนภาษาต่างประเทศ เพียง 10% ที่ ทปอ.กำหนด ไม่เพียงพอที่จะใช้วัดความสามารถทางด้านอักษร และเป็นไปไม่ได้ที่จะคัดเลือกบุคคลให้ได้ตามคุณลักษณะที่คณะต้องการ เนื่องจากคณะอักษรศาสตร์เป็นคณะที่สอนภาษาขั้นสูง หากใช้สัดส่วนตามที่ ทปอ.กำหนดจะไม่สามารถผลิตบัณฑิตอักษรศาสตร์ได้สำเร็จ
ผศ.ดร.ม.ร.ว.กัลยา กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ได้หารือไปยัง ทปอ. เพื่อขอปรับสัดส่วน PAT 7 เป็น 30% ในการคัดเลือกแอดมิชชันแล้ว แต่ได้รับคำชี้แจงว่า เกณฑ์แอดมิชชันปีการศึกษา 2553 ได้กำหนดล่วงหน้าไปแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งหากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เห็นว่าเป็นปัญหากับการคัดเลือกนิสิต และจะทำให้นิสิตเรียนอยู่ในระบบไม่ได้ ก็ขอให้ดำเนินการในระบบรับตรง ซึ่งขอยืนยันว่า จุฬาฯ ต้องการใช้ระบบแอดมิชชัน เพียงแต่เห็นว่าองค์ประกอบในการคัดเลือกบางอย่างควรมีการปรับเปลี่ยน เพื่อให้ได้นิสิตตามที่คณะต้องการ
“สำหรับแอดมิชชันปีการศึกษา 2554 หาก ทปอ.มีการปรับสัดส่วนเพิ่ม PAT 7 เป็น 30% ตามที่อักษรศาสตร์ จุฬาฯ ร้องขอ จุฬาฯ ก็พร้อมจะกลับไปใช้ระบบแอดมิชชันในการคัดเลือกนิสิตเหมือนเดิม ซึ่งการกำหนดองค์ประกอบการคัดเลือกที่ไม่สอดคล้องกับคุณสมบัติของผู้เรียนอย่างแท้จริง เมื่อเด็กเข้ามาสู่ระบบแล้วเรียนไม่ไหวจะเป็นการทำร้ายนิสิตที่รุนแรง นอกจากนี้การสอนอักษรศาสตร์ในสถาบันอุดมศึกษามีความหลากหลาย และมีจุดเน้นที่แตกต่างกัน ถึงแม้จะเป็นศาสตร์ด้านเดียวกัน แต่ก็ไม่ควรจะกำหนดน้ำหนักหรือสัดส่วนองค์ประกอบในการคัดเลือกผู้เรียนเหมือนกัน จุฬาฯ ก็มีปณิธานของตัวเองว่าต้องการผลิตบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการ ขณะที่สถาบันอุดมศึกษาอื่นๆ อาจเห็นว่าการใช้ PAT 7 เพียง 10% ก็เพียงพอแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ก็จะเสนอประเด็นนี้ต่อ ทปอ.ด้วย” ผศ.ดร.ม.ร.ว.กัลยา กล่าว
รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ จุฬาฯ กล่าวอีกว่า สำหรับการรับตรงของจุฬาฯ ที่พิจารณาจาก GPAX 10% นั้น เนื่องจากมีผลการวิจัยรองรับว่า ค่าน้ำหนักของ GPAX ที่ใช้คัดเลือกบุคคลเข้ามหาวิทยาลัยไม่ควรเกิน 10% เพราะค่าน้ำหนักที่ 10% จะสะท้อนผลการเรียนของนิสิตในมหาวิทยาลัยได้ดีที่สุด ส่วนที่ไม่ได้นำคะแนน O-NET มาพิจารณาในการรับตรงของจุฬาฯ เนื่องจาก ทปอ.กำหนดให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ส่งรายชื่อนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกรับตรงภายในวันที่ 31 มกราคม 2553 ขณะที่ O-NET จะมีการประกาศผลสอบหลังจากนั้น จึงไม่สามารถนำ O-NET มาพิจารณาได้ทัน อย่างไรก็ตาม จุฬาฯ มีความเป็นห่วงความรู้วิชาพื้นฐานของนิสิตเช่นกัน จึงได้จัดทดสอบประเมินความรู้พื้นฐานวิชาภาษาอังกฤษ หรือ CU-TEP ความรู้วิชาภาษาไทยโดยใช้ข้อสอบของศูนย์ภาษาไทยสิรินธร และความรู้วิชาวิทยาศาสตร์ หรือ CU-SCIENCE เพื่อวัดพื้นฐานวิชาเหล่านี้กับนิสิตชั้นปีที่ 1 ทุกครั้ง
ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการด้านการวิจัย กล่าวว่า ปัญหาเรื่องนิสิต นักศึกษาที่เรียนในคณะ/สาขาที่ต้องใช้พื้นฐานวิชาวิทยาศาสตร์ เช่น คณะวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ฯลฯ มีผลการเรียนต่ำลง และติด F จำนวนมากนั้น นอกจากความบกพร่องของการกำหนดสัดส่วนองค์ประกอบในการคัดเลือกที่ให้สอบวิชาในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย วิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และ อวกาศและดาราศาสตร์ จำนวน 100 คะแนน ส่งผลให้เด็กที่จะเข้ามหาวิทยาลัยได้นั้นไม่จำเป็นต้องเก่งวิชาวิทยาศาสตร์ ขณะเดียวกันก็มีผลมาจากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของกระทรวงศึกษาธิการที่แยกออกมาเป็น 8 กลุ่มสาระ และรวมเอาวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา เข้ามาอยู่ในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ทั้งหมด จึงทำให้เด็กมีพื้นฐานใน 3 วิชาดังกล่าวไม่แน่นพอ
ทั้งนี้ แม้จะยังมีการแยกสอนเป็น 3 วิชาแต่เนื้อหาไม่ต่อเนื่อง และไม่เข้มข้น ซึ่งที่ประชุมสภาคณบดีคณะวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ทวท.) ได้เคยพูดถึงเรื่องนี้หลายครั้ง แต่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็ยังนิ่งเฉย และเมื่อขอให้มีการปรับองค์ประกอบแอดมิชชันให้แยกสอบวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา เป็นวิชาละ 100 คะแนน ทปอ.ก็จะชี้แจงว่าไม่สามารถแยกได้ เนื่องจากหลักสูตรกำหนดให้เรียนรวมเป็นสาระวิชาวิทยาศาสตร์ 1 กลุ่มสาระเท่านั้น
“ทำไมวิชาคณิตศาสตร์จึงแยกสอบ 100 คะแนนได้ แต่วิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ซึ่งเป็นวิชาหลักและเป็นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ทุกแขนงกลับไม่แยกสอบ หากปล่อยให้ปัญหานี้ยังอยู่ต่อไป ก็จะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์ในระดับนานาชาติ แม้ที่ผ่านมาเราจะได้รับเหรียญทองโอลิมปิกวิชาการด้านต่างๆ แต่เด็กที่ได้รับรางวัลเหล่านั้นล้วนผ่านการอบรมและมีอาจารย์มหาวิทยาลัยสอนวิชานั้นๆ ให้ตัวต่อตัว ขณะที่ภาพรวมเราไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้เลย” ศ.ดร.เกื้อ กล่าว
ศ.ดร.สุพจน์ หารหนองบัว คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ในส่วนของคณะวิทยาศาสตร์ สัดส่วนการรับตรงและแอดมิชชันอยู่ที่ 50 :50 จากเดิม 30:70 นั้น ซึ่งความจริง คณะวิทยาศาสตร์อยากรับตรง 100 % แต่ต้องรอดูคะแนนสอบ GAT, PAT ก่อนว่าจะสามารถวัดความรู้ความสามารถเด็กได้จริงหรือไ ม่ อย่างไรก็ตามหลังจากที่เด็กสอบเข้าเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ได้โดยผ่านระบบแอดมิชชัน คณะวิทยาศาสตร์จะจัดสอบ CU Science ให้กับนิสิตชั้นปี 1 ในเดือนมิถุนายน แล้วนำคะแนนจาก CU Science และแอดมิชชันมาเปรียบเทียบ ซึ่งหากคะแนน CU Science และแอดมิชชันกลางไม่แตกต่างกันมาก แสดงว่าการสอบแอดมิชชันกลางปี 2553 ที่ใช้คะแนน GAT, PAT เป็นระบบที่ได้คุณภาพในการคัดเลือกเด็ก แต่หากคะแนนออกมาแล้ว แตกต่างกันมากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ อาจจะเปลี่ยนเป็นรับตรง 100 % ในปีถัดไปก็ได้ ซึ่ง ทปอ.คงต้องทบทวนปรับสัดส่วนองค์ประกอบที่ใช้ในการแอดมิชชันต่อไป